จากคลอง 4 สู่ คลองเตย

ขณะที่ เฮ้งชุนเส็ง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นเจ้าเก่า ยังคงครองความอร่อยไม่เปลี่ยนแปลง แต่อีกฝากถนนของร้าน กำลังจะมีการ "เปลี่ยนแปลง" อีกครั้ง
การพา การท่าเรือ เอฟซี จบอันดับ 3 ของกลุ่มในศึก เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ของ สระราวุฒิ ตรีพันธ์ มาพร้อมกระแสจากแฟนบอลหลายคนต้องการเปลี่ยนคนนั่งเก้าอี้ หลายคนมองว่า “โค้ชอู๊ด” สอบตกอย่างสิ้นเชิงในรายการนี้
พวกเขาอยู่ในสายที่ง่ายสุดด้วยซ้ำ หากเทียบเคียงกับบรรดา 4 สโมสร ทว่าท้ายสุดกลับคว้าชัยชนะได้แค่จาก ปักกิ่ง กั๊วอัน ที่ส่งทีมชุดเยาวชนมาแข่งขัน
แม้จะเก็บได้ 8 คะแนน ทว่าผลงานโดยรวมถือว่าน่าผิดหวัง เพราะศักยภาพนักเตะ สิงห์เจ้าท่า ดีกว่า สิงห์ เชียงรายฯ ด้วยซ้ำ และควรจะไปได้ไกลกว่านี้ สุดท้ายกลับเป็นเพียง “ไม้ประดับ”
ไม่แปลกแต่อย่างใด ฉับพลันที่จบทัวร์นาเมนต์ ทีมจะมีข่าวกับกุนซือใหม่ทันที
ชื่อของ ดุสิต เฉลิมแสน ถูกโหมลงแทบทุกสำนักข่าว ในการรีเทิร์นกลับบ้านเก่า
หลังพา บีจี ปทุมฯ คว้าแชมป์ไทยลีกมาครอง
“โค้ชโอ่ง” ถูกเปลี่ยนบทบาทให้ไปคุมทัพ ราชประชา พาร์ตเนอร์ลูกหนังจาก ไทยลีก 2แม้จะไม่ได้คุมทัพบีจี แต่ ดุสิต ยังอยู่ในสถานะของพนักงานบางกอกกล๊าสเต็มตัว หากเปรียบเป็นบริษัทคงประมาณ กินเงินเดือนเท่าเดิม แค่ถูกย้ายแผนกเท่านั้น
ฉะนั้นหาก การท่าเรือ อยากพา ดุสิต ออกจากคลอง 4 ไป คลองเตย ก็ต้องคุยกับองค์กรโดยตรงซึ่งคือ บางกอกกล๊าส ตรงนี้ ดุสิต ไม่ใช่เป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตามทั้ง นวลพรรณ ล่ำซำ กับ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรสองฝั่ง ต่างรู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี มีสถานะเป็นตัวพ่อ-ตัวแม่ วงการไทยลีก ทำธุรกิจลูกหนังร่วมกันมาหลายดีล การเจรจาเรื่อง ดุสิต ไม่ว่าจะมาในรูปแบบสัญญาชนิดไหน คงไม่มีปัญหา
เวลานี้คงเหลือเพียงขั้นตอนการ
“เปิดตัว” อย่างทางการเท่านั้น
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ การมาของกุนซือใหม่ ส่งผลให้ทีมต้องมีการเปลี่ยนใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้
โค้ชแต่ละคนมีตำราเป็นของตัวเอง และแน่นอนว่าตำราลูกหนังที่
“โค้ชโอ่ง” ถือคือคนละเล่มกับ สระราวุฒิ ตรีพันธ์ทำให้ต้องมีผู้เล่นที่อาจไม่อยู่ในแผนการทำทีมต่อ สำหรับการท่าเรือยุคใหม่ ยิ่งในรายนักเตะต่างชาติมี “บางคน” ต้องเก็บกระเป๋าออกจากรั้วแสด-น้ำเงิน
คนเก่าไป คนใหม่ก็รอมา ตามวัฎจักรฟุตบอล ถึงขณะนี้ยังมีเวลาอยู่อีก 15 วันกว่าตลาดซื้อขายไทยลีกจะปิด ไม่ต้องเดาก็เชื่อได้ว่า การท่าเรือ มีชูเสื้อแข้งใหม่อีกแน่ ๆ
แต่ถึงจะเป็นการกลับมาบ้านหลังเดิม แต่บ้านหลังนี้ปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเก่ามาก ต่างจากสมัยที่เจ้าตัวคุมเมื่อ 7-8 ปีก่อน ที่สมัยนั้นทีมยังใช้การยืมผู้เล่นทีมใหญ่ และยังไม่ได้มีฉายา “เจ้าบุญทุ่ม” เหมือนปัจจุบัน
เรียกว่าไม่เหลือเค้าโครงเดิม
อย่างไรก็ดีถือว่าเป็นภารกิจใหม่ที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับ ดุสิต อีกครั้ง ในการมาจับทีมระดับเศรษฐี ที่มีวัตถุดิบชั้นดีให้เลือกปรุงตามใจชอบ ต่อจากที่เคยทำ บีจี ปทุมฯ
มีคำกล่าวไว้ว่า ขุมกำลังที่ดี ต้องมีอยู่ในมือโค้ชที่ถูกคนด้วย
น่าสนใจว่า ดุสิต เฉลิมแสน
จะยกระดับ การท่าเรือ ทีมนี้ให้น่ากลัวกว่าเดิมได้ขนาดไหน
ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com